ชื่อ นายดวด ศิลาเงิน
วัน/เดือน/ปีเกิด 1 มกราคม 2480
อายุ 80 ปี
อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 409 หมู่ที่ 4 ตำบลวังไทร อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร
อาชีพจักสานและหมอแผนโบราณ
ชื่อภูมิปัญญาท้องถิ่น หมอพื้นบ้านรักษาโรคงูสวัด
จากการสอบถามคุณตาดวด ท่านได้บอกว่าโรคงูสวัดจะพบในวัยผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ซึ่งมักจะเกิดบริเวณผิวหนังตามร่างกาย ลักษณะเป็นผื่นหรือตุ่มตามยาว ส่วนใหญ่งูสวัดจะขึ้นบริเวณแนวบั้นเอวหรือแนวชายโครง หรือบางคนอาจขึ้นที่ใบหน้า แขน หรือขาแต่จะมีลักษณะการขึ้นที่คล้ายกันคือขึ้นเพียงซีกใดหนึ่งของร่างกายเท่านั้น โรคงูสวัดเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงและเป็นโรคที่มักจะหายได้เองเป็นส่วนใหญ่ แต่บางคนหลังจากที่แผลหายแล้วอาจมีอาการปวดและคันบริเวณที่เป็นแผล การรักษาจะใช้วิธีการพ่นด้วยเหล้าขาว หลังจากนั้น 4 - 5 วัน แผลก็จะแห้งและหายไปเอง อย่างไรก็ตามคุณตาดวดบอกว่าบางครั้งโรคนี้ก็อาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ ดังนั้นจึงควรเรียนรู้วิธีการรักษาและป้องกันเพื่อให้ไกลจากโรคงูสวัด
โรคงูสวัด มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส Varicella zoster virus หรือ VZV เชื้อชนิดนี้จะทำให้เกิดโรคในคน คืออีสุกอีใสและงูสวัด เมื่อเชื้อไวรัส VZV เข้าสู่ร่างกายครั้งแรกจะทำให้ผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเป็นโรคงูสวัดแล้วเชื้อไวรัสจะไปหลบตามปมประสาทต่างๆ ของร่างกาย ทำให้เส้นประสาทอักเสบ และปล่อยเชื้อไวรัสออกมาที่ผิวหนัง พอถึงช่วงที่ร่างกายอ่อนเพลีย มีภูมิคุ้มกันลดลง เชื้อไวรัสจะเริ่มเพิ่มจำนวน แล้วจะแสดงอาการของโรคงูสวัดขึ้น
ลักษณะอาการของโรคงูสวัด สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ระยะ คือ
ระยะที่ 1 ผู้ป่วยจะมีอาการปวดและแสบร้อนที่ผิวหนังโดยที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ ช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีภูมิต้านทานของร่างกายที่ลดต่ำลง ทำให้เชื้อไวรัสเริ่มมีการเพิ่มจำนวนในร่างกายตามปมประสาทต่างๆ ทำให้เกิดอาการปวดและแสบร้อนได้
ระยะที่ 2 หลังจากนั้นประมาณ 2 - 3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีผื่นสีแดงขึ้นที่ผิวหนัง แล้วจะกลายเป็นตุ่มน้ำใสๆ ซึ่งจะเรียงกันเป็นกลุ่มและเป็นแนวยาวเรียงไปตามกลุ่มของเส้นประสาทของร่างกาย เช่น ตามแขน ขา แผ่นหลังหรือรอบๆ เอว ต่อมาตุ่มใสๆ ของโรคงูสวัดนี้จะเริ่มแตกและจะตกสะเก็ด ซึ่งแผลเหล่านี้จะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์
ระยะที่ 3 เมื่อแผลที่ตกสะเก็ดแห้งและหายดีแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะยังมีอาการปวดและแสบร้อนตามรอยแนวของแผลอยู่ บางคนอาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะหายซึ่งขึ้นอยู่กับความแข็งแรงและภูมิคุ้มกันของแต่ละคน
การดูแลรักษาด้วยตัวเอง
1. ในระยะที่เป็นตุ่มน้ำใสให้รักษาแผลให้ดีโดยใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำเกลืออุ่นๆ หรือกรดบอริค 3 % ปิดประคบไว้ประมาณ 5 - 10 นาที แล้วชุบเปลี่ยนใหม่ ทำเช่นนี้วันละ 3 – 4 ครั้ง
2. ในระยะที่ตุ่มน้ำแตก มีน้ำเหลืองไหล ต้องระมัดระวังการติดเชื้อจากแบคทีเรียที่อาจเข้าสู่แผลได้ ควรล้างแผลด้วยน้ำเกลือสะอาด แล้วปิดแผลด้วยผ้าก๊อซหากมีอาการปวดแผลมาก สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้ ผู้ป่วยไม่ควรใช้เล็บแกะหรือเกาตุ่มงูสวัด เพราะอาจจะทำให้มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนได้
จนกลายเป็นตุ่มหนอง จะทำให้แผลหายช้าและอาจกลายเป็นแผลเป็นได้ ซึ่งผู้ป่วยสามารถที่จะรับประทานอาหารได้ตามปกติ
ข่าว ณ. วันที่ 17 พ.ค. 2565 เวลา 19.02 น. โดย คุณ เพ็ญพักตร์ พุ่มฉัตร
ผู้เข้าชม 114 ท่าน |